วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

อาหารไทย

อาหารไทย
1.)ต้มยำกุ้ง

ส่วนผสม
  • กุ้งกุลาดำตัวใหญ่ หรือกุ้งแม่น้ำ
  • เห็ดฟางผ่าครึ่ง
  • พริกขี้หนู
  • ใบมะกรูดฉีกเอาก้านออก
  • ข่าหั่นแว่น
  • ตะไคร้ทุบแล้วหั่นท่อน
  • ผักชี โรยหน้า
  • น้ำพริกเผา 1 ช้อนชา
  • มะนาว 1 ลูก
  • กะทิหรือนมข้นจืด 1/2 ถ้วย
  • น้ำตาล 1/2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือ หยิบมือ
  • น้ำซุป (ถ้าไม่มีเป็นซุปสำเร็จรูปกับน้ำเปล่า)
ขั้นตอนการทำ
  1. ก่อนอื่นต้องแกะเปลือกกุ้งผ่าเอาเส้นดำออกล้างให้สะอาด หั่นเครื่องต้มยำ พริก ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูดและเห็ด ให้พร้อม
  2. นำน้ำซุปไปตั้งไฟให้เดือด ใส่เครื่องต้มยำลงไปให้หมด ให้เดือดอีกครั้งก็ใสกุ้งที่เตรียมไว้ลงไปเลยหลังจากใส่กุ้งลงไปแล้ว ให้ใส่ น้ำตาล น้ำปลา พริกขี้หนู พริกเผา ใครชอบรสแบบไหนใส่ลงไปตามชอบ ตามด้วยเห็ดฟาง
  3. ปิดเตาแล้วค่อยปรุงด้วยมะนาว(เคล็ดลับการบีบน้ำมะนาวใส่ในน้ำที่กำลังเดือดทำให้มะนาวข่มได้) โรยเกลือนิดหน่อยเพื่อดึงรสเปรี้ยวหวานเค้มให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น
  4. จัดชามเสิร์ฟ หั่นผักโรยหน้า เพิ่มความหอม




2.)ผัดกระเพรารวมมิตรทะเล

ส่วนผสม
1. กุ้ง 5-6 ตัว
2. ปลาหมึก 1 ตัว
3. ข้าวโพดอ่อน 5-6 ฝัก
4. ถั่วฝักยาว ½ ถ้วย
5. ใบกะเพรา 1 ถ้วย
6. ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ
7. น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
8. น้ำตาล 1 ช้อนชา
9. ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
10. พริก 7-8 เม็ด
11. กระเทียม 5-6 กลีบ
                        

ขั้นตอนการทำ
1. นำกระเทียมและพริกมาตำให้พอละเอียด เตรียมไว้
2. นำกุ้งและปลาหมึกมาล้างทำความสะอาด กุ้งนั้นนำมาปอกเปลือก ผ่าหลังเอาเส้นดำกลางหลังออก ส่วนปลาหมึกให้บั้งหั่นเป็นชิ้น ๆ พอดีคำ
3. ตั้งไฟจนน้ำมันร้อนพอประมาณ นำกระเทียมและพริกลงไปผัดจนเหลืองหอม
4. ใส่กุ้งและปลาหมึกลงไปผัด คลุกเคล้าให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน จากนั้นใส่ข้าวโพดอ่อนกับถั่วฝักยาวตามลงไปผัด
5. ปรุงรสด้วยซอสน้ำมันหอย น้ำปลา น้ำตาล ซีอิ๊วขาว ชิมรสตามใจชอบ ผัดจนส่วนผสมทั้งหมดสุก
6. ใส่ใบกะเพราลงไปผัดจนผักสลด ตักขึ้นใส่จาน เสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อน ๆ
3.)ส้มตำไทย

ส่วนผสม

* มะละกอดิบหั่นฝอย 2 ถ้วยตวง
* แครอทหั่นฝอย 1/2 ถ้วยตวง
* ถั่วฝักยาว 1/2 ถ้วยตวง (หั่นความยาวประมาณ 1" )
* น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
* น้ำตาลปี๊บ 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
   (ถ้าไม่มีสามารถใช้น้ำตาลทรายแทนได้)
* น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
* มะเขือเทศ 1/2 ถ้วยตวง (หั่นครึ่ง)
* กุ้งแห้ง 1/3 ถ้วยตวง
* ถั่วลิสง 1/4 ถ้วยตวง
* พริกขี้หนู 10 เม็ด (ปรับเพิ่ม/ลด ตามความต้องการ)
* กระเทียมสด 5 กลีบ
ขั้นตอนการทำ
1. ใส่กระเทียมและพริกลงในครก ใช้สากตำพอแหลก จึงใส่กุ้งแห้งและตำต่อไปอีกสักพัก
2. ใส่น้ำตาลปี๊บ ตำต่อจนน้ำตาลละลาย จึงใส่มะละกอฝอย,        แครอทฝอย, ถั่วฝักยาว, มะเขือเทศ, ถั่วลิสง ปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำมะนาว จากนั้นจึงตำต่อจนส่วนผสมทั้งหมดเคล้ากัน
3. ปรุงรสให้ถูกปากด้วย น้ำตาล, น้ำปลา หรือน้ำมะนาวเพิ่ม รสดั้งเดิมจะมีรสหวาน, เผ็ด และเปรี้ยวพอๆกัน
4. ตักใส่จานและโรยหน้าด้วยถั่วลิสง เสิรฟพร้อมผักสด (กะหล่ำปลี, ถั่วฝักยาว, ผักบุ้งไทย, อื่นๆ) และข้าวเหนียวร้อนๆ
                                           




                   4.)ผัดไทยกุ้งสด

                                               

ส่วนผสม

* กุ้งสด 12 ตัว (ทำความสะอาด, ปอกเปลือก)
* เส้นจันท์ (หรือเส้นเล็ก) 90 กรัม
* ถั่วงอก 50 กรัม
* ใบกุ้ยช่าย 2 ช้อนโต๊ะ (หั่นให้มีความยาวประมาณ 1 นิ้ว)
* น้ำปลา 6 ช้อนโต๊ะ
* น้ำมันหอย 6 ช้อนโต๊ะ
* น้ำมะขาม 3 ช้อนโต๊ะ (หรือน้ำส้มสายชู)
* น้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ
* หัวไชโป้ว 2 ช้อนโต๊ะ
* ถั่วลิสงบด 2 ช้อนโต๊ะ
* ไข่ 2 ฟอง
* พริกป่น 1 ช้อนโต๊ะ (ถ้าชอบรสจัด)
* มะนาว 1/2 ลูก
ขั้นตอนการทำ
1. กรณีใช้เส้นชนิดแห้ง ให้นำเส้นไปแช่น้ำธรรมดา (อุณหภูมิห้อง) ประมาณ 30 นาที
2. ตั้งกระทะบนไฟปานกลาง ใส่กุ้งลงไปผัดจนเริ่มสุก ตอกใส่ไข่ลงไปในกระทะ ใช้ตะหลิวเขี่ยให้  ไข่แดงแตก พอไข่เริ่มสุก ใส่เส้น, น้ำตาล, ถั่วลิสงและ หัวไชโป้ว ผัดจนเส้นเริ่มนุ่มและเครื่องปรุงทั้งหมดผสมกันทั่ว
3. ปรุงรสด้วยน้ำปลา, น้ำมันหอย และน้ำมะขาม (หรือน้ำส้มสายชู) ใส่ถั่วงอก, หัวไชโป้วและพริกป่น (ถ้าชอบรสจัด) ผัดอย่างรวดเร็วให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันทั่ว ตักใส่จาน จัดแต่งด้วยถั่วงอกสด, พริกป่น, และมะนาว ข้างจาน ควรเสิรฟขณะยังร้อน
                                        
                     5.)มัสมั่นไก่
                                              

ส่วนผสม
1.กะทิ 2 kg (แยกหัว-หางกะทิ ที่ร้านคั้นกะทิแยกมาให้ค่ะ)
2.พริกแกงมัสมั่น
3.น่องไก่ติดสะโพกประมาณ 6-7 ชิ้น
4.หอมใหญ่แบ่ง 4 ส่วน ประมาณ 1 kg
5.มันฝรั่ง หั่นเป็นชิ้นใหญ่หน่อย
6.ถั่วลิสงคั่ว
7.น้ำตาลปี๊บ
8.น้ำปลา
9.น้ำมะขามเปียก

ขั้นตอนการทำ
1. นำหัวกะทิสัก 1 ถ้วย ใส่หม้อตั้งไฟจนเดือด ใส่พริกแกงลงไปผัดจนหอม แตกมัน
2. เติมหางกะทิลงไปประมาณครึ่งหม้อ พอเดือด ใส่ไก่ลงไป
3. ระหว่างนี้ก็เตรียมหั่นผัก หัวหอมใหญ่ มันฝรั่ง รอไว้เลยค่ะ
    มันฝรั่งหั่นแล้วแช่น้ำเกลือพักนึง ค่อยสะเด็ดน้ำมาพักไว้ในตะกร้า เพื่อไม่ให้ดำค่ะ
4. ประมาณครึ่งชั่วโมง ไก่จะเริ่มสุก ใส่หัวหอมใหญ่ลงไป
    คือบุ๊งชอบให้หอมใหญ่สุกๆ นิ่มๆ เพราะหอมใหญ่จะหวานมาก เลยใส่ลงไปก่อน
5. ตามด้วยถั่วลิสงคั่ว จากนั้นปรุงรสด้วย น้ำตาลปี๊บ น้ำปลา น้ำมะขามเปียก
    ชิมรสชาติตามชอบ บ้านบุ๊งชอบกินออกหวานหน่อย
6. สุดท้ายตามด้วยมันฝรั่ง ต้มไปอีกสัก 10-15 นาที ก็ปิดไฟ
    มันฝรั่งจะสุกต่อไปอีก เพราะแกงร้อนครับ


                         

Old trafford stadium


สนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด   


                                                  
                                                                อลด์ แทร็ฟฟอร์ด ปี1926
    "โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด" เริ่มเปิดประตูต้อนรับแฟนบอลเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1910 แต่ก็เป็นความทรงจำที่ไม่ค่อยดีนักเมื่อทีมพ่ายให้กับ ลิเวอร์พูล 4-3 ในช่วงนั้นแฟนบอลส่วนใหญ่ต้องยืนดูเกมการ แข่งขัน แต่ก็ถือเป็นความความสำเร็จ ของสนามแห่งใหม่ที่สามารถรองรับคนดูได้ถึง 80,000 คนในเกมดังกล่าว ถึงยังเป็นสังเวียนฟาดแข้งที่ให้ความสะดวกสบาย แฝงด้วยความหรูหราโดยไม่มีสนามแห่งใดในยุคเดียวกันจะเทียบเท่าได้ ไม่ว่าจะในเรื่อง เก้าอี้พับเก็บได้ มีห้องจิบน้ำชา และคนคอยบริการชี้ทาง พาไปหาที่นั่ง พร้อมทั้งยังมีห้องเล่นเกม โรงยิม และอ่างอาบน้ำขนาดยักษ์ สำหรับนักเตะอีกด้วย
หลังจากรองรับฝูงชนมากหน้าหลายตามาเป็นระยะเวลา 30 ปี "โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด" ก็ห่างหายจากเกมลูกหนังอยู่เกือบ 1 ทศวรรษเต็มๆ รวมถึงฟุตบอลลีก ต้องหยุดชะงักหลังเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1939 จากนั้นในคืนวันที่ 11 มีนาคม ปี ค.ศ. 1941 "โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด" ก็ต้องพังทลายลงหลังโดนกองทัพอากาศของเยอรมัน ทิ้งระเบิดใกล้ๆ กับนิคมอุคสาหกรรม แทร็ฟฟอร์ด พาร์ค ระเบิดหลายลูกตกลงที่สนาม "โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด" อัฒจันทร์ เมน สแตนด์ ถูกทำลายย่อยยับ เช่นเดียวกับตัวพื้นสนามก็ได้รับความเสียหาย ไปด้วย หลังสิ้นสุดสงครามรัฐบาลอังกฤษ ได้มอบเงินให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จำนวน 22,278 ปอนด์ เพื่อบูรณะสนามขึ้นใหม่ ระหว่างนั้นเอง ทีมปีศาจแดงต้องย้ายไปเล่นที่ "เมน โร้ด" สนามของทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นานถึง 4 ปี
แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องการสนามใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมเพื่อรองรับผู้ชมจำนวน 120,000 คน ให้ได้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาไม่มีงบประมาณพอที่จะก่อสร้างได้ ซึ่งทำได้เพียงแค่สร้าง เมน สแตนด์ ขึ้นใหม่แทนที่ของเดิมที่ถูกทำลายเท่านั้น ในวันที่ 24 สิงหาคม ปี ค.ศ. 1949 ทีมปีศาจแดงได้กลับมายังถิ่นของพวกเขาอีกครั้ง ท่ามกลางฝูงชนกว่า 41,000 คน และสามารถเอาชนะ โบลตัน วันเดอเรอร์ส ได้ในเกมนัดแรกของรอบ 10 ปีที่กลับมาเล่น ณ สนามแห่งนี้
                         
                                                      "โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ปี1950-1966 "
   นับตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1957 "โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด" เริ่มสว่างไสวบนเวทีลูกหนังยุโรป เมื่อ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้สิทธิเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลยุโรป เกมกลางสัปดาห์ซึ่งต้องเล่นในช่วงเย็น นั่นหมายถึงพวกเขาต้องมีไฟสนาม และเกมนัดแรก ภายใต้แสงไฟคือก็คือเกมลีก เมื่อ 25 มีนาคม ปี ค.ศ. 1957 ในขณะที่ทีใหญ่อย่าง รีล มาดริด คือ ทีมแรกจากยุโรปที่มาเล่นภายใต้ไฟสนามใหม่ชั้นยอดที่นี่
นอกจานั้น แฟนบอลรุ่นเก๋าคงยังจำได้ดีถึงความรู้สึกที่เปียกปอนไปด้วย เม็ดฝนพร้อมๆ กับนักเตะในสนาม เพราะอัฒจันทร์ "สเตรตฟอร์ด เอนด์" ชื่อดัง ไม่มีแม้หลังคาไว้บังแดดบังฝน จนกระทั้งใน ปี ค.ศ. 1959 การจัดแข่งขันฟุตบอลโลก ณ สนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ทำให้สนามได้รับการปรับ ปรุงให้ทันสมัยมากขึ้นในช่วงยุค 60 อัฒจันทร์แบบแคนติลิเวอร์ (แบบอย่างต้นกำเนิดของอัฒจันทร์ในปัจจุบันที่ไม่ต้องใช้เสาค้ำยันให้บังทัศนียภาพในเกมการแข่งขัน) ถูกเปิดใช้ใน ปี ค.ศ. 1964 ด้วยงบประมาณในก่อสร้าง จำนวน 350,000 ปอนด์ ขณะที่แฟนบอลของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เริ่มเพิ่มมากขึ้นตามความจุของสนาม

โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ปี1990
   ใน ปี ค.ศ 1992 ประเพณีการยืนเชียร์เกมการแข่งขันฝั่ง "สเตรตฟอร์ด เอนด์" มาถึงจุดสิ้นสุดลง เมื่อมันถูกบูรณะใหม่และแทนที่ด้วยเก้าอี้นั่ง จนกระทั่งใน ปี ค.ศ. 1994 สนาม "โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด" ก็กลายเป็นสนามที่นั่งทั้งหมดครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยที่ความจุสำหรับแฟนบอลกลับลดลงไป ดังนั้นความจุแค่ 43,000 ที่นั่ง ย่อมไม่เพียงพอแน่ต่อความต้องการของแฟนบอลที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหานี้ อัฒจันทร์ ฝั่ง นอร์ท สแตนด์ ก็ถูกปรับปรุงใหม่ในฤดูกาล 1995/96 ถึงตอนนั้นความจุของสนามเท่ากับ 56,387 ที่นั่ง แต่มีแฟนบอลอีกจำนวนหนึ่ง ไม่พอใจเกี่ยวกับสแตนด์ใหม่นี้กับความสูงในระดับ 48 เมตร



โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ปี2000 
   ในปัจจุบัน ทีม แมนฯ ยูไนเต็ด มีสนามใหญ่ที่สุดในประเทศอังกฤษ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกับค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 28 ล้านปอนด์ ยูฟ่า ซึ่งเป็นองค์กรควบคุมเกมฟุตบอลของยุโรป เรียก "โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด" ว่าเป็นสนามที่ดีที่สุดในอังกฤษ และใช้รองรับเกมการแข่งขันฟุตบอลยูโร 96 ถึง 5 นัด แต่ด้วยความสำเร็จในช่วงทศวรรษที่ 90 จำนวนแฟนบอลที่ต้องการเข้าชมเกมมีมากขึ้น ปลายฤดูกาล 1999/2000 อัฒจันทร์ฝั่ง อีสต์ สแตนด์ ได้ถูกปรับปรุงใหม่จนสามารถเพิ่มความจุผู้ชมเป็น 61,000 ที่นั่ง หลังจากนั้นต้นฤดูกาล 2000/01 อัฒจันทร์ฝั่ง สเตรตฟอร์ด เอนด์ ก็ได้ถูกปรับปรุงใหม่เช่นกันโดยเพิ่มที่นั่งเป็น 2 ชั้น จนกระทั่งปัจจุบันความจุของสนามสุทธิคือ 68,217 ที่นั่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาสโมสรฟุตบอลทั้งหมดในเกาะอังกฤษ



ภาพภายใน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
   แม้จะครองสถิติเป็นสนามที่มีความจุใหญ่ที่สุดบนเกาะอังกฤษในปัจจุบัน แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ยังมี แผนการขยายความจุผู้ชมของสนาม "โอล์ด แทรฟฟอร์ด" ในอนาคตให้เป็น 90,000 ที่นั่ง ที่มุมสนามทั้ง 2 มุม ของอัฒจันทร์ฝั่ง นอร์ท สแตนด์ ต่อกันกับ สเตรตฟอร์ด เอนด์ และ อีสต์ สแตนด์ โดยที่อัฒจันทร์ฝั่ง เซาธ์ สแตนด์ แต่การขยายความจุนั้นต้องถือว่าเป็นไปได้ยากเพราะอยู่ใกล้กับทางรถไฟ ซึ่งเคยมีผู้เสนอให้ขยายโดยสร้างอัฒจันทร์ชั้นที่ 3 คร่อมทางรถไฟ ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีทางวิศวกรรมสมัยใหม่และมีค่าใช่จ่ายที่สูงมาก
อย่างไรก็ตาม ด้วยจำนวนแฟนบอลที่เพิ่มขึ้นมากมายจากทั่วทุกมุมโลกที่ต่างปรารถนาจะมาชมเกมการแข่งขัน ณ โรงละครแห่งความฝัน ไม่แน่ว่าเราอาจได้เห็นรูปลักษณ์ใหม่ของ "โอล์ด แทร็ฟฟอร์ด" ในอนาคต ที่อาจเป็นสนามฟุตบอลแห่งแรกในโลกที่มีอัฒจันทร์คร่อมรางรถไฟก็เป็นได้